วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

การบริการบนอินเตอร์เน็ต


การบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต
 - การบริการด้านส่งข่าวสารและแสดงความคิดเห็น
 - การบริการด้านการติดต่อสื่อสาร
 - การบริการด้านการถ่ายโอนแฟ้ม
- ข้อมูลการบริการค้นหาข้อมูล
- การบริการข้อมูลมัลติมีเดีย
- การบริการระบบการเรียนรู้อิเลินนิ่ง
บริการด้านการรับส่งข่าวสารและแสดงความคิดเห็น
- ไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์  (E-mail)
-  Mailing  list
-  นิวส์กรุ๊ป  (Newgroup)
 -  การสนทนา  (talk) 
ไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์  (  E –mail  )
 การใช้งานแบ่งออกได้  2  แบบ
        1.Corporate  e-mail
        2.Free  e-mail
ส่วนประกอบของอีเมล์แอดเดรส
       1.  ชื่อบัญชีสมาชิกของผู้ใช้เรียกว่า user name อาจใช้ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อองค์กรก็ได้
       2.  ส่วนนี้คือเครื่องหมาย @ (at sign) อ่านว่า "แอท"
       3.  ส่วนที่สามคือ โดเมนเนม (Domain Name) เป็นที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ ที่เราสมัครเป็นสมาชิกอยู่ เพื่ออ้างถึงเมล์เซิร์ฟเวอร์
       4.  ส่วนสุดท้ายเป็นรหัสบอกประเภทขององค์กรและประเทศ ในที่นี้คือ .co.th โดยที่ .co หมายถึง commercial เป็นบริการเกี่ยวกับการค้า ส่วน .th หมายถึง Thailand อยู่ในประเทศไทย

การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสารข้อมูล


การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสารข้อมูล
     อี เมล์ (E-mail)
                  เป็นการส่งข้อความในรูปแบบของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังบุคคลอื่น ซึ่งผู้ส่งและผู้รับต้องมีชื่อและที่อยู่ในรูปของ e-mail address (pirom9@hotmail.com)
     วอยซ์ - เมล์
                  เป็นการส่งข้อความในรูปของเสียงผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และผ่านสื่อแล้วมีการบันทึกไว้สำหรับการฟัง
     โทรสาร หรือแฟกซ์
                  เป็นการส่งข้อความเป็นหน้ากระดาษ โดยส่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องรับโทรสาร
     อินเทอร์เน็ต Internet
                  อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีบริการการรับ ส่งข้อมูลในรูปของสื่อประสม และบริการทางการสืบค้นข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศ
        การใช้อินเทอร์เน็ต
                  อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด และเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการใช้อินเทอร์เน็ตจัดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านธุรกิจต่างๆก็สามารถนำอินเทอร์เน็ตเข้ามาประยุกต์ใช้ได้  

ความหมายของอินเทอร์เน็ต
       อินเทอร์เน็ต หมายถึง กลุ่มของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน มาจากคำว่า Inter Connection Network และอนุญาตให้มีการเข้าถึงสารสนเทศ และการบริการในรูปแบบของสาธารณะ
        เนื่องจากคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะแยกกันทำงานโดยอิสระ นอกจากคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้กันเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกันด้วยความเร็วต่ำ จากปัญหาและอุปสรรคในการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และความต้องการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน จึงทำให้เกิดโครงการอาร์พาเร็ต ซึ่งอยู่ในความดูและควบคุมของอาร์พา ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา โดยที่อาร์พาทำหน้าที่สนับสนุนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ทุนสนับสนุนแก่หน่วยงานอื่นๆ เช่นมหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนที่ทำการวิจัยและพัฒนาโครงการอาร์พาเน็ตได้เริ่มขึ้นในปีพ.ศ.2512 โดยเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างสถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย 4 แห่ง ในสหรัฐอเมริกา และต่อมาเครือข่ายอาร์พาเน็ต ได้รับความนิยมอย่างมาก มหาวิทยาลัยและหน่วยงานของรัฐและเอกชนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมเชื่อมต่อกับเครือข่ายนี้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัย
          อินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลก สามารถติดต่อสื่อสารถึงกัน ได้โดยใช้มาตรฐาน ในการรับส่งข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกว่าโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งโปรโตคอล ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet Protocol)

          ลักษณะของระบบอินเตอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง ตามความต้องการ โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่านจุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง การติดต่อสื่อสาร ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต นั้นอาจเรียกว่า การติดต่อสื่อสารแบบไร้มิติ หรือ Cyberspace

เทคนิค 7 ประการที่ควรรู้ในการค้นข้อมูล



           ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆ ก็คือข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการใช้งาน  จึงควรเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อช่วยลดหรือจำกัดคำที่ค้นหาให้แคบลง และตรงประเด็นมากที่สุด เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุดอยู่ 2 แบบ  ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น  ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่จะเห็นว่าเหมาะสม  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไปไม่ชี้เฉพาะเจาะจง  ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index  อย่างของ yahoo  เพราะโอกาสที่จะหาข้อมูลพบนั้น  มีสูงกว่าการสุ่มหาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine 
                1. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพธ์ที่มีขนาดแคบ
ลงและชี้เฉพาะมากขึ้น ย่อมดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ
                2. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพยนตร์ ควรที่จะเลือกใช้ Search Engine  ที่ให้บริการใกล้เคียงกับเรื่องนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นที่น่าพอใจมากกว่า
                3. ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ  เพื่อบอกกับ  Search Engine ว่าต้องการผลการค้นหาที่มีคำในกลุ่มนั้นครบ และตรงตามลำดับที่พิมพ์ทุกคำ เช่น "free shareware" เป็นต้น
                4. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าต้องการให้มันค้นหาคำดังกล่าว แบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากต้องการที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่เขียนไว้ก็ให้ใช้ตัวอักษรใหญ่แทน
                5. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3  ตัวด้วยกัน คือ - AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้น ๆ มาแสดงด้วยเท่านั้น  โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น - OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ
food และ cheese แต่ต้องไม่มี butter เป็นต้น
                6. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ +(บวก) หน้าคำที่ต้องการจริง ๆ - (ลบ) ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ () ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น (pentium+computer)cpu
                7. ใช้  *  เป็นตัวร่วม  เช่น com*  เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com  ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ  *tor  เป็นการให้หาคำที่ลงท้ายด้วย tor  ส่วนด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ

ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine



               คือ  วิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index  จะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวม และทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้น  ระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุม และจัดการ  ซึ่ง Software ตัวนี้จะมีชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานของมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เต็มไปหมดใน Internet  เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามาได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ  ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้  เช่น Excite , Lycos Infoserch  เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้น  มักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้าง ๆ ชี้เฉพาะ เจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site ซึ่งต้องเสียเวลานานมากในการค้นหาและอ่านเว็บเพจ  โดยไม่รับรองได้ว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ ดังนั้นจึงมีหลักในการค้นหา เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด 

เทคนิคใน Search engine
ผลลัพธ์จากการค้นหาจาก Search engine ที่มีใช้งานอยู่ทั่วไปนั้น นอกจากจะได้ลิงค์ของเว็บเพจแล้ว Search engine ยังแสดงเนื้อหาข้อมูลในเว็บเพจนั้นด้วย นั่นหมายความว่า Search engine จะต้องจัดเก็บข้อมูลที่นำมาแสดงนั้นไว้ในฐานข้อมูล Search engine แต่ละตัวมีวิธีเลือกเก็บข้อมูลแตกต่างกันไปเช่น เก็บเฉพาะอักขระ 200 ตัวแรกของเว็บเพจ  Search engine จะคัดเอาอักขระ 200 ตัวแรกที่ไม่ได้เป็นคำสั่ง HTML มาทำเป็นคำบรรยาย หรือเก็บจำนวนคำที่พบในเพจเพื่อนำมาแสดงเป็นคะแนนว่าเว็บเพจที่ค้นได้มีความเกี่ยวข้องกับคำที่ค้นมามากเพียงใด
ตัวสไปเดอร์ใน Search engine จะใช้ทรัพยากรของระบบเป็นจำนวนมาก Search engineที่ดีจะมี สไปเดอร์ที่ไม่ใช้ทรัพยากรของระบบสูงมากเกินไปโดยอาศัยเทคนิคดังเช่น
- ไม่อ่านเอกสาร HTML มากเกินไป แม้ว่าสไปเดอร์ จะมีความสามารถจัดการเอกสารได้ทัน เพราะอาจจะทำให้เครือข่ายทำงานช้าลง
- อ่านเฉพาะส่วนที่จำเป็นต้องใช้ เช่นอาจจะอ่านมาเฉพาะส่วนที่เป็นตัวอักษร ซึ่งในโปรโตคอล http มีฟิลด์ Accept ซึ่งใช้สำหรับบอกชนิดของข้อมูลที่ต้องการ หากมีการระบุชนิดของข้อมูลลงในฟิลด์นี้ เว็บเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อมูลมาเฉพาะชนิดที่ระบุในไฟล์
- ตรวจสอบไม่ให้อ่านเว็บที่เคยอ่านไปแล้ว ข้อควรระวังของข้อนี้ก็คือ เซิร์ฟเวอร์บางเซิร์ฟเวอร์อาจจะมีชื่อได้หลายชื่อ เช่น web.nexor.co.uk, nercules.nexor.co.uk และ 128.243.219.1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ เดียวกัน

Multi Search engine
นอกไปจาก Search engine แล้ว ในปัจจุบันยังมี Multi Search engine หรือ Search engineแบบขนาน ซึ่งก็คือ Search engine ที่จะส่งคำไปถามหรือ Search engine หลาย ๆ ตัวพร้อมกันในครั้งเดียว แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มารวมและเรียบเรียงใหม่ ตัวอย่างของ  Multi Search engine เช่น

การสืบค้นข้อมูลแบบใช้คีย์เวิร์ด


การสืบค้นข้อมูลแบบใช้คีย์เวิร์ด
การสืบค้นแบบใช้คีย์เวิร์ด ใช้ในกรณีที่ต้องการค้นข้อมูลโดยใช้คำที่มีความหมายตรงกับความต้องการ โดยมากจะนิยมใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องที่จะสืบค้นข้อมูล
การสืบค้นข้อมูล การสืบค้นแบบใช้คีย์เวิร์ด มีวิธีการค้นหาได้ดังนี้
1. เปิดเว็บเพจ ที่ให้บริการในการสืบค้นข้อมูล โดยพิมพ์ช่องเว็บที่ช่อง Address

www.google.co.th เป็นเว็บที่ใช้สืบค้นข้อมูลของต่างประเทศ ข้อดีคือ ค้นหาง่าย เร็ว
www.yahoo.com เป็นเว็บที่ใช้สืบค้นที่ดีตัวหนึ่งซึ่งค้นหาข้อมูลง่าย และข้อเด่นคือภายในเว็บของ www.yahoo.com เองจะมีฟรีเว็บไซต์ ที่รู้จักกันในนาม http://www.geocities.com ซึ่งมีจำนวนหลาย100000 เว็บ ให้ค้นหาข้อมูลเองโดยเฉพาะ
www.sanook.com เป็นเว็บของคนไทย
www.siamguru.com  เป็นเว็บของคนไทย
ในตัวอย่างจะเปิดเว็บ www.sanook.com
2. ที่ช่อง ค้นหา พิมพ์ข้อความต้องการจะค้นหา ในตัวอย่างจะพิมพ์คำว่า วิทยาศาสตร์
3. คลิกปุ่ม ค้น

4. จากนั้นจะปรากฏรายชื่อของเว็บที่มีข้อมูล
5. คลิกเว็บที่จะเรียกดูข้อมูล

           
    หลักการใช้คำในการค้นหาข้อมูล  
การสืบค้นแบบใช้คีย์เวิร์ด เช่น ถ้าต้องการจะสืบค้นเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเครื่องคอมพิวเตอร์ การค้นหาจึงต้องการเนื้อหาที่เจาะลึก การสร้างคำ คีย์เวิร์ด ต้องใช้คำที่เจาะลึกลงไปเพื่อให้ได้ข้องมูลที่เฉพาะคำมากยิ่งขึ้น
1. การใช้คำที่คิดว่าจะมีในเว็บที่ต้องการจะค้นหา เช่น ต้องการจะหาข้อมูลเกี่ยวกับ บุคคล ที่ชื่อว่า นาย อุบล ถ้าเราพิมพ์ข้อมูลที่ช่อง Search ว่า อุบล แล้วทำการค้นข้อมูล Search Engine จะทำการค้นหาคำ โดยจะค้นหารวมทั้งคำว่า
จังหวัดอุบล     อุบลราชธานี     คนอุบล   วิทยาลัยเกษตรอุบล      เทคโนโลยีอุบล
ซึ่งเราจะเจอะ ข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นการใช้คำในการค้นหาข้อมูลจึงต้องใช้คำเฉพาะเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น้อยลง เช่น อาจจะพิมพ์คำว่า นาย อุบล พิมลวรรณ ซึ่งข้อมูลจะมีจำนวนที่น้อยลง
2. ใช้เครื่องหมาย คำพูด  (“ _ ”) เพื่อกำหนดให้เป็นกลุ่มคำ เช่น จะค้นหาคำ ชื่อหนังสื่อที่ชื่อว่า โปรแกรม PhotoShop สังเกตว่าคำที่จะค้นหา จะเป็นคำที่ต้องเว้นวรรค แต่เมื่อมีการสืบค้นด้วย Search Engine ระบบจะค้นหาคำแบ่งเป็นสองคำ คือคำว่า โปรแกรม และคำว่า PhotoShop จึงทำให้ข้อมูลที่ได้ผิดพลาด ดังนั้นการสร้างคำ จึงต้องกำหนดคำด้วยเครื่องหมายคำพูด จึงใช้คำว่า “โปรแกรม PhotoShop” ในการค้นหาแทน
3. ใช้เครื่องหมาย ลบ (-) ไว้หน้าคำที่ไม่ต้องการจะให้ปรากฏอยู่ในรายการแสดงผลของการค้นหา เช่น ต้องการหาชื่อโรงเรียน แต่ทราบแล้วว่าโรงเรียนที่จะค้นหาไม่ใช้โรงเรียนอนุบาล จึงต้องยกเลิกคำว่าอนุบาล โดยพิมพ์คำว่า โรงเรียน  -อนุบาล ผลที่ได้จะทำให้มีเฉพาะคำว่า โรงเรียน ทั้งหมดแต่จะค้นหาคำว่า อนุบาล (*การพิมพ์เครื่องหมาย ลบกับคำที่จะยกเลิกต้องติดกัน มิฉะนั้นระบบจะเข้าใจว่าจะค้นหาคำ 3 คำ คือ คำว่า โรงเรียน คำว่า + และคำว่า อนุบาล*)

การค้นหาในรูปแบบ Search Engine


            วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้  หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Index ลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้น ฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป  จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา

หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Enine

              สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการ  ต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่อง  ประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้

      1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
      2. การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title  (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง
      3. การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
      4. การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site



การค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine

      1. เปิดเว็บไซด์ที่ให้บริการ
      2. ใส่คำ (keyword) ที่คุณต้องการจะค้นหาลงไปในช่องยาวๆ (text box) ที่มีสร้างเอาไว้ให้
      3. คลิ๊กที่ปุ่ม ค้นหา (กรณีเลือก Search Engine ที่อื่นอาจจะไม่ได้ใช้คำนี้ก็ได้ แล้วแต่ที่คุณเลือก
                
                    โปรแกรมจะเริ่มค้นหาคำนั้นๆให้ ตอนนี้คุณก็รอสักพักนึงก่อน จากนั้นรายชื่อของเว็บเพจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ระบุจะ  ถูกแสดงออกมาในรูปแบบของลิ้งค์พร้อมคำอธิบายประกอบนิดหน่อย ให้เราอ่านเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่ามันเกี่ยวข้องกับ  ข้อมูลที่เราต้องการหรือเปล่า ส่วนใหญ่ข้อมูลที่พบมีมากจนเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นหมดในหน้าเดียว มันจะมีตัวแบ่งหน้า  ให้เราทางด้าน ล่างสำหรับเลือกไปดูรายละเอียดส่วนอื่นๆที่เหลือในหน้าถัดๆไป แต่โดยมากแล้วข้อมูลที่ใกล้เคียง กับคำที่เรา ต้องการมากที่สุดจะอยู่ในช่วงต้นๆ ของรายการแรกที่ Search Engine นั้นๆตรวจพบ
                                   

                    นอกจากการค้นหาข้อมูลแล้ว Search Engine บางที่ ยังสามารถค้นหา รูปภาพ ได้อีกด้วย
การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามา  ได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site  ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่  ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจึงมีหลักในการค้น หา เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ต


    ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ

การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ต

แหล่งข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุด
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวินาที ดังนั้นในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตควร
ดำเนินการดังนี้
1.              กำหนดวัตถุประสงค์การสืบค้น 
ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นที่ชัดเจน ทำให้
สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่จะสืบค้นให้แคบลง กำหนดประเภทของเครื่องมือหรือ
โปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Search Engine ให้เหมาะสม กำหนดช่วงเวลาที่
ข้อมูลสารสนเทศถูกสร้างขึ้น เช่น ช่วงปีที่ตีพิมพ์ของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพื่อให้ผลการสืบค้นมี
ปริมาณไม่มากเกินไป มีความตรง (Validity) ตามวัตถุประสงค์ และมีความน่าเชื่อถือ (Reliability) มากที่สุด
อีกทั้งยังสามารถสืบค้นได้ผลในเวลาอันรวดเร็ว

2.              ประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่สามารถสืบค้นได้ 
ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือ
มีทั้งที่เป็นข้อความ(Text) ภาพวาด (Painting) ภาพเขียนหรือภาพลายเส้น (Drawing) ภาพไดอะแกรม
(Diagram) ภาพถ่าย (Photograph) เสียง(Sound) เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงดนตรี (Midi) ภาพยนตร์
(Movie) ภาพเคลื่อนไหวอะนิเมชัน (Animation) จากเทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่เร็ว
ที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และแพร่หลายที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศประเภทข้อความ สำหรับ
การสืบค้นข้อมูลที่เป็นภาพ (Pattern Recognition) และเสียง ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ใช้เวลานาน และยังไม่มี
ประสิทธิภาพ จึงยังไม่มีการสืบค้นข้อมูลประเภทอื่นๆ นอกจากประเภทข้อความในการให้บริการการสืบค้น
บนอินเทอร์เน็ต
  
3.              การสืบค้นต้องอาศัยอุปกรณ์และความรู้ 
ก่อนที่ผู้สืบค้นจะสามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตได้ ต้องมีการจัดเตรียม
อุปกรณ์ดังต่อไปนี้ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจเป็น Modem ในกรณีที่ใช้คู่กับ
สายโทรศัพท์ หรือแผ่น LAN Card ในกรณีที่ใช้คู่กับระบบเครือข่ายที่ได้รับการติดตั้งไว้แล้ว ซอฟต์แวร์
การสื่อสาร (Communication Software) เช่น Dial-up Networking ในกรณีใช้ Modem หรือมีการติดตั้ง
Network Protocol ที่เหมาะสมกับระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นติดตั้งอยู่และติดตั้ง Network
Adapter ที่เหมาะสมสำหรับ LAN Card นั้นๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิกขององค์การหรือบริษัทผู้ให้บริการ
อินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider หรือ ISP) เพื่อเป็นช่องทางออกสู่อินเทอร์เน็ต นอกจากอุปกรณ์
ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์(Computer
Literacy) ความรู้ภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อมูลสารสนเทศส่วนใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษ และยัง
ต้องมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย

4.              บริการบนอินเทอร์เน็ต 
บริการบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถใช้ช่วยในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศมีมากมายหลายบริการ
เช่น บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web(WWW) บริการค้นหาข้อมูล Gopher บริการ
ค้นหาโปรแกรมใช้งาน Archie นอกจากนี้ อาจใช้บริการสอบถามผ่านทาง E-mail หรือ Chat กับผู้ใช้งาน
อินเทอร์เน็ตอื่นๆ หรือสอบถามผ่าน News Group หรือ Group/Thread Discussion ก็ได้ เมื่อค้นได้
แหล่งข้อมูลแล้วอาจ download หรือถ่ายโอนข้อมูลที่สืบค้นได้โดยใช้บริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลและ
โปรแกรม (File Transfer Protocol หรือ FTP)
โดยทั่วไปในปัจจุบัน การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้โปรแกรม Web
Browsers เช่น Internet Explorer หรือ Netscape แล้วเรียกใช้บริการ www ประกอบกับการใช้ Search
Engine ซึ่งมีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตในการสืบค้น เมื่อสืบค้นได้แล้ว โปรแกรม Web Browsers มักจะมี
บริการ Download ได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยโปรแกรมอื่นๆเข้าช่วย

5.              เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น 
เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการ
อยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูล
สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ ไม่
เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง ตัวอย่าง
เว็บไซต์ของต่างประเทศ ได้แก่
http://www.yahoo.com http://www.google.com http://www.infoseek.com
http://www.ultraseek.com http://www.lycos.com http://www.excite.com
http://www.altavista.digital.com http://www.opentext.com http://www.hotbot.com
http://www.webcrawler.com http://www.dejanews.com http://www.elnet.net
เป็นต้น สำหรับเว็บไซต์ของไทย ได้แก่ http://www.sanook.com http://www.siamguru.com เป็นต้น